เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2565
เรื่อง การตัดขันธ์ 5
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
ในระหว่างนี้ก็ขอให้เราทุกคนสงบจิตอยู่กับสมาธิ ใจสบายๆ ผ่องใส เมื่ออยู่กับลมหายใจสบายๆ วางจิตเบาๆเป็นสภาวะแห่งเมฆจิต เมื่อจิตของเราเบา สงบ สะอาด สว่าง ร่มเย็นแล้ว ให้เราภาวนาบริกรรม นะมะพะธะ ไปช้าๆ คำมะพะทะ บริกรรมที่ว่า นะมะพะธะ นั้นความหมายคำแปล มาจากธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ การที่เราภาวนาบริกรรม นะมะพะธะ ก็คือการที่เราสำรวมจิตเป็นสมาธิ รำลึกนึกถึงกำลังแห่งธาตุทั้ง 4 กสิณธาตุทั้ง 4 อันเป็นเหตุ อันเป็นบาทฐานของอภิญญาสมาบัติ ในวิสัยของฉฬภิญโญหรืออภิญญา 6 ให้เราสำรวมจิต กำหนดจิตสงบนิ่ง ผ่องใสบริกรรม นะมะพะธะ สบายๆ
ในระหว่างนี้ ภาวนาบริกรรม นะมะพะธะ ไว้ จิตจดจ่ออยู่กับคำภาวนาบริกรรม เมื่ออารมณ์จิตของเราเบาสบาย สงบลง ลำดับต่อไป ก็ให้เราน้อมพิจารณาตัดร่างกายขันธ์ 5 เจริญวิปัสสนาญาณ การพิจารณาตัดร่างกายขันธ์ 5 นั้น คือส่วนของการที่เราเจริญปัญญา เพื่อให้เกิดสภาวะที่เป็นการแยกรูป แยกนาม แยกกาย แยกจิต เมื่อแยกรูป แยกนาม แยกกาย แยกจิต กระบวนการที่เราเจริญวิปัสสนาญาณนี้ จะทำให้เราสามารถแยกอาทิสมานกาย เกิดเป็นกำลังของมโนมยิทธิ สามารถใช้งาน คือเดินทางไปในภพภูมิต่างๆ กำหนดรู้ในญาณ ในความเป็นทิพย์ของจิต อันนี้ก็คือกำลังของมโนมยิทธิ ซึ่งแปลว่าฤทธิ์ทางใจ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นกำลังบาทฐาน จากตัวผู้ฝึก ผู้ปฏิบัติเอง คือกำลังฌานสมาธิของเราครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่ง คือส่วนที่เป็นบารมีของพระ เป็นบารมีของกำลังพุทธคุณ เป็นแรงครูบาอาจารย์ มาเกื้อกูลสงเคราะห์
ดังนั้นมโนมยิทธิ จึงมีชื่อเรียกว่ามโนมยิทธิครึ่งกำลัง คือบารมีของพระท่านสงเคราะห์เราครึ่งนึง กำลังของฌานสมาบัติเราครึ่งนึง หากกำลังตบะสมาธิ กำลังฌานสมาบัติเรามีสูง จิตมีความนอบน้อม ศรัทธา เชื่อมโยงกับกระแส กับคุณพระรัตนตรัยได้เต็มที่ เต็มกำลัง กำลังที่พระท่านสงเคราะห์ก็สูงขึ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ความชัดเจนแจ่มใสของแต่ละบุคคลในการฝึกมโนมยิทธิจึงมีความแตกต่างกัน เป็นจากปัจจัยสำคัญให้เราน้อมพิจารณาดูดังนี้
ข้อหนึ่ง จิตของเราวางอารมณ์เบา วางอารมณ์ในสมถะไว้ถูกไหม อารมณ์จิตเบา อารมณ์จิตสบาย อารมณ์จิตผ่องใส อารมณ์จิตตรงกับสภาวะความเป็นทิพย์ คือใจสบายๆ เป็นสุข เอิบอิ่ม เห็นภาพจิตของเราสว่าง เป็นเพชรประกายพรึก คือกำลังของปฏิภาคนิมิต ฌาน 4 แห่งกสิณจิต อันนี้คือส่วนในการทำของเรา
ส่วนที่ สอง ที่เราต้องทำคือ อารมณ์จิตของเราในขณะเจริญวิปัสสนาญาณนั้น จิตของเรา มีความห่วง ความกังวลใดๆ หรือไม่ จิตเราตัดร่างกายขันธ์ 5 ตัดความห่วง ตัดภาระ ตัดความเป็นมนุษย์ ตัดความเกาะเกี่ยวในกาย ได้ละเอียด ได้หมดหรือไม่ ศัพท์ในการปฏิบัติเรียกว่าตัดขันธ์ 5 ละเอียด หรือตัดขันธ์ 5 แล้วก็ยังอยาก ยังห่วง ยังเกาะ ยังกังวล ยังกลัวอยู่ กลัวนั่น กลัวนี่ ก็เป็นอารมณ์ติด
ดังนั้นยิ่งจิตของเราเจริญวิปัสสนาอย่างละเอียดมากเท่าไหร่ ตัดความห่วงร่างกายมากเท่าไหร่ จิตกำหนดในความตระหนักรู้ว่า เราคือดวงจิตหรืออาทิสมานกาย เราไม่ใช่ร่างกายเนื้อหรือขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ร่างกายเนื้อไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ยิ่งตัดรายละเอียดเท่าไหร่ กำลังแห่งมโนมยิทธิยิ่งมีความเบา มีความคล่องตัวมากขึ้นเพียงนั้นตามไปด้วย นี้คือส่วนที่เราต้องตัด
และส่วนหนึ่ง ก็คือความลังเลสงสัย ความลังเลสงสัยนั้น เป็นเครื่องขัดขวางกำลังของมโนมยิทธิ จิตเราต้องมีความศรัทธา เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย จิตของเราจำเป็นที่จะต้องพิจารณาให้ได้ว่า ความเชื่อ ความศรัทธา ภาพที่เห็นนี้เป็นบารมีของพระท่านสงเคราะห์ให้ปรากฏ ให้เราได้กำหนดรู้ ให้เราได้เข้าถึง หากจิตของเรายังมีความลังเลสงสัยอย่างนู้นอย่างนี้มากเกินไป ตรงนี้ก็จะเป็นเครื่องกั้น ที่จะทำให้กระแสกำลังของพุทธานุภาพ กำลังแห่งครูบาอาจารย์ที่มาสงเคราะห์นั้น ไม่สามารถเชื่อมโยงกับเราได้เต็มที่ ให้เรานึกภาพ พิจารณาตามสภาวะความรู้ แบบคนสมัยปัจจุบันว่า อุปมาว่ากระแสคลื่น กระแสที่พระพุทธองค์ กระแสครูบาอาจารย์ที่เชื่อมโยงมายังจิตของเรานั้น เป็นเหมือนกันสัญญาณ Wifi เป็นเหมือนกับสัญญาณอินเตอร์เน็ต หากใจของเรา อันเป็นเครื่องรับนั้น มีความลังเลสงสัย ระบบการรับมันก็มีความกระท่อนกระแท่น สะดุดติดขัด กำลังส่งมาแรงเท่าไหร่ แต่จิตของเรารับได้น้อย สภาวะความคล่องตัวความถูกต้อง ความชัดเจนก็น้อย ข้อผิดพลาดก็เกิดความผิดพลาด เกิด error ตามมา
ดังนั้นยิ่งจิตเราเชื่อมโยง มั่นคง เด็ดเดี่ยว สิ้นสงสัย คือจิตเกาะติดในสัญญาณ เกาะติดในกระแสที่พระพุทธองค์ทรงส่งมาให้มากเท่าไหร่ ล็อคสัญญาณได้แน่นมากเท่าไหร่ กำลังของมโนมยิทธิก็มีความคล่องตัว ถูกต้อง ชัดเจนมากเพียงนั้นเช่นกัน อันนี้เป็นการอธิบายให้เข้าใจในสิ่งที่เราจะปฏิบัติ เมื่อเข้าใจแล้ว จิตไม่มีความลังเลสงสัย มีความเชื่อมั่นก็จงค่อยๆ พิจารณา โดยน้อมจิตพิจารณาตาม ในลำดับต่อไป ก็จะเป็นการพิจารณา ในการเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อตัดร่างกายขันธ์ 5
วางจิตให้สงบผ่องใส พิจารณากำหนดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ทั่วร่างกายของเรา เมื่อกำหนดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ทั่วร่างกายของเราแล้ว ให้กำหนดก็รู้สึกว่าร่างกายขันธ์ 5 นี้ ในที่สุดก็มีความแก่ มีความเสื่อม มีความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบาย มีความตายเป็นที่สุด กำหนดน้อมพิจารณา พิจารณาร่างกายภายนอก คือร่างกายของบุคคลอื่น น้อมมาเปรียบเทียบ พิจารณากับร่างกายและชีวิตของเรา ตอนนี้มีโรคระบาด มีโรคภัยไข้เจ็บ คนหนุ่มคนสาวก็ตาย เด็กก็ตาย คนแก่คนชราก็ตาย คนยังไม่ถึงวัยที่จะพึงต้องตายก็ตาย ก็เสียชีวิต คนที่สวยงามแค่ไหน หล่อเหลาแค่ไหน หนุ่มแน่น มีความแข็งแรง ด้านสุขภาพแค่ไหน ก็มีความตาย พิจารณาในมรณานุสติว่า ขึ้นชื่อว่าเมื่อมีการเกิดขึ้น เราก็มีความแก่ มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความตายไปในที่สุด ให้ใจเราพิจารณา จิตเราพิจารณาตาม ว่าตัวเราเองหนอถึงแม้ว่าตอนนี้เรามีสุขภาพแข็งแรง ถึงแม้ว่าตอนนี้เรารู้สึกว่าเรายังหนุ่มยังสาวอยู่ ยังมีกำลังวังชาอยู่ แต่อันที่จริงทุกเวลานาที ชีวิตเราก็กำลังก้าวเข้าสู่มรณา คือความตายในที่สุด ตลอดเวลาทั่วร่างกายอวัยวะทุกส่วน เซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างก็มีความเสื่อม หากเราพิจารณาลึกซึ้งลงไปถึงในระดับเซลล์ เราจะพบว่าทุกวัน เซลล์ในร่างกายเรา ตายไปมากกว่าวันละ 10 ล้านเซลล์ 20 ล้านเซลล์ทุกวัน แล้วก็มีเซลล์มันเกิดใหม่มาแทนที่ มันมีการเกิด การดับ อยู่ทุกวินาที เซลล์นั้นตายเซลล์นี้เกิด เซลล์นั้นตายเซลล์นี้เกิด แต่เซลล์ที่มันเกิด เมื่อเราแก่ลงเซลล์ที่มันเกิดใหม่ กลับเกิดขึ้นน้อยกว่าเซลล์ที่ตาย ความชรา ความเสื่อมก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น การเกิดดับเกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกลมหายใจ กำหนดจิต ให้ญาณเครื่องรู้ในความสงบของจิต พิจารณาเห็นการเกิดดับในระดับเซลล์ในร่างกายของเรา
พิจารณาต่อไปว่า และก็เมื่อเป็นเช่นนี้ อันที่จริงแล้ว เราเมื่อปีที่แล้วกับปีนี้ เซลล์ของปีที่แล้วมันก็ตายไปหมดที่เกิดมามันก็เป็นเซลล์ใหม่ หากเราพิจารณาได้แบบนี้โดยปรมัตถ์ เราก็เห็นว่า ร่างกายนี้มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราร่างกายนี้มันก็มีความไม่เที่ยง มีความเสื่อม พิจารณาเพื่อให้จิตยอมรับในความเป็นจริงของร่างกาย และพิจารณาต่อไปว่า ในความตายนั้น ในที่สุดเมื่อมันเกิดขึ้นกับชีวิตเรา มรณาเข้ามาถึงชีวิตเรา เพื่อนในวัยเดียวกัน รุ่นเดียวกันกับเราก็มีเสียชีวิตไปแล้ว บางคนเสียจนไปเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว บางคนก็มีสุขภาพแข็งแรง บางคนก็มีอาการป่วยเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย เราพิจารณาดูว่า ความตายในวัยเดียวกันมันก็มีเป็นปกติ แต่จุดสำคัญก็คือ ในมรณานั้น เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ เราจะตายวันไหน แต่สิ่งที่เรารู้แน่นอนก็คือ เราเกิดมาอย่างไร ทุกคนต้องตายทั้งสิ้น แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมตรัยศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังไม่พ้นซึ่งความตาย เสด็จดับขันปรินิพพาน ผู้ที่มีบุญ มีบารมีทั้งหลาย ในที่สุดก็ถึงแก่ความตาย เศรษฐี ยาจกทั้งหลาย จะรวยล้นฟ้าหรือจนเข็ญใจ ก็ล้วนแต่ต้องตาย สิ่งที่เราต้องคิดพิจารณาก็คือ เราตายแล้ว เราจะไปไหน คติที่ไปของเราคืออะไร เหตุที่จะทำให้เราไปจุติ ไปยังคติที่เราตั้งเป้าหมายนั้นคืออะไร คนทั่วไปบนโลกที่ไม่ประมาทในระหว่างมีชีวิต ก็ทำประกันชีวิต ทำประกันสุขภาพ แต่ประกันภพภูมิ ว่าตายแล้วเราจะไปไหน ให้เราพิจารณาดูว่าเราได้ทำประกันชีวิตของเราหรือไม่ ว่าตายไปแล้วเราจะไปเกิดดีขึ้นกว่านี้ เกิดมายังคงรักษาสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีอาการ 32 มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์ มีราศรีผ่องใส เป็นผู้ที่มีทรัพย์ เป็นผู้ที่มีคุณธรรมความดี เข้าถึงพระพุทธศาสนา อันนี้เราได้ทำประกัน เราได้ทำเหตุให้เกิดผลหรือไม่ หรือตายไปแล้วเราทำเหตุที่จะทำให้ไปจุติเป็นเทวดานางฟ้า โดยการสร้างทาน สร้างบุญ รักษาศีล สร้างบารมีหรือไม่ หรือเราตั้งใจมีปัญญาพิจารณาว่า โลกนี้ชีวิตนี้ มันเป็นทุกข์ เราเห็นทุกข์ภัยในสังสารวัฏ เราปรารถนาที่จะไม่เกิด คือปรารถนาพระนิพพานเป็นที่สุด และในขณะเดียวกันเราได้ทำเหตุ ที่จะให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้หรือไม่ ก็ให้เราคิดพิจารณาดู ณ ปัจจุบันนี้พิจารณาว่าเมื่อเราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ เราไม่รู้ว่าเราจะตายยังไง แต่เรารู้ว่าเราตายแน่นอน
พิจารณาต่อไปว่าในเมื่อเราจะต้องตายแน่นอน ความห่วง ความเกาะในร่างกาย ความห่วง ความเกาะในทรัพย์สินเงินทองทั้งหลาย ความห่วง ความเกาะ ความเสียดาย ในสินทรัพย์บ้านเรือนเคหะสถาน ที่เรามี ความห่วงในลูก ในสามี ห่วงพ่อ ห่วงแม่ ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงคนรัก จิตเรามีห่วงเหล่านี้หรือไม่ อารมณ์ที่จะแยกรูป แยกนาม แยกจิต ก็คืออารมณ์ที่เราตัดห่วงทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด ตัวนี้คือตัวตัด ตัดร่างกายหนึ่ง เกาะกายไหม เสียดายกายไหม ยึดกับกายเกินไปไหม อารมณ์ที่สอง คือห่วง คือเกาะในบุคคลที่เป็นที่รักไหม อารมณ์ที่ 3 ก็ห่วงสถานที่ ห่วงกิจการงาน ห่วงกิจหน้าที่ทั้งหลายไหม ห่วงสมบัติทั้งหลายไหม ให้เราคิดพิจารณาเช่นนี้ จิตของเราจะได้คลาย ตัดจากขันธ์ 5 เป็นอารมณ์ในวิปัสสนาญาณ คืออารมณ์ตัดอย่างแท้จริง
ตอนนี้ให้เราแต่ละคนพิจารณาดูว่า สิ่งใดที่เรารักที่สุดที่ เรายึดที่สุดที่ เราเกาะที่สุด ที่เราห่วงที่สุด พิจารณาน้อมนำสิ่งนั้นมาพิจารณาว่า เมื่อเราตายไปแล้วสมมุติก็สิ้นไป เมื่อตายไปแล้วเราไม่มีร่างกาย ร่างกายที่เอาไว้ครอบครอง เอาไว้ใช้ในสินทรัพย์ ทรัพย์สินวัตถุทั้งหลายก็ไม่มี ตายไปแล้วเรากลายเป็นผี เราไปปรากฏตัวให้คนที่เราห่วง คนที่เรารัก คนที่ห่วงคนที่เรารัก เขาแทนที่จะดีใจ เขากลับหวาดกลัว กลับหวาดผวา กลับผลักใสไล่ส่ง เพราะอยู่กันคนละภพ คนละภูมิแล้ว
ดังนั้นก็ไม่มีเหตุอะไร ที่เราจำเป็นจะต้องไปห่วง ไปเกาะ ไปยึด กิจทั้งหลาย หน้าที่ทั้งหลาย สมมุติทั้งหลายในความเป็นมนุษย์ สมมุติทั้งหลายในชาติภพนี้มันจบสิ้นแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปเกาะ ไปเกี่ยว ไปยึด ให้เราแต่ละบุคคลพิจารณา น้อมพิจารณาว่าใจเราคลายตัวได้ไหม พยายามยกเอาอารมณ์ เอาบุคคล เอาสิ่งต่างๆ ที่เรารักที่สุดห่วงที่สุด เกาะที่สุดมาตัด มาพิจารณา ตัดห่วงทั้งหลาย วิปัสสนาญาณ คืออารมณ์ตัด
เมื่อพิจารณาตัดได้แล้ว ก็กำหนดจิตต่อไป พิจารณาต่อไปว่า อันที่จริงแล้วร่างกายขันธ์ 5 นี้ เป็นเพียงวัตถุธาตุในโลก ประกอบด้วย ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบไปด้วยอาการ 32 มารวมตัวกันเป็นร่างกาย ร่างกายที่เป็นวัตถุ ที่เป็นของอย่างนี้ เมื่อมีดวงจิตหรืออาทิสมานกายของเรา มาปรากฎ มาอยู่ มาใช้ มาอาศัยกายนี้ จิตเมื่ออยู่กับกาย มากเข้าๆ ก็หลง ก็เกาะ ก็ยึดว่าร่างกายนี้เป็นตัวเราของเรา เป็นกำลังแห่งอุปทานขันธ์ อุปทานนั้นยิ่งเกาะ ยิ่งมีอัตรา ยิ่งมีความเหนียวแน่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเกาะ ยิ่งยึด ยิ่งหลงในกายมากเท่านั้น ยิ่งมัวเมาในร่างกายมากเท่านั้น จนลืมเลือนไปว่าเราคือจิตอาทิสมานกาย เรามาใช้อาศัยร่างกายเนื้อนี้อยู่เพียงชั่วคราว เพียงชั่วขณะ
หากนับเนื่องเวลาในสังสารวัฎ ช่วงเวลาที่เรามาอาศัยร่างกายนี้ มันน้อยนัก น้อยยิ่งกว่าน้อย น้อยราวกับเพียงแค่ช่วงเวลาแห่งการที่เรากระพริบตา แต่ช่วงเวลาที่จิตเคลื่อนจุติ เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไปมากมายมหาศาล มีมากมายยาวนานจนไม่มีที่สิ้นสุด ตราบจนกระทั่ง จิตเราเข้าสู่กระแสธรรมมะ จิตเราเข้าสู่กระแสโลกุตระ พิจารณาหาหนทางออกจากสังสารวัฏ เข้าสู่กระแสแห่งมรรคผลพระนิพพาน
เมื่อเราพิจารณาได้ดังนี้แล้ว สำหรับเราหลายๆ คนที่มาปฏิบัติ ล้วนแล้วแต่มีจิตปรารถนาในพระนิพพาน เราก็กำหนดจิตต่อไป ว่านับแต่นี้ จิตเราเกิดปัญญา รู้เท่าทันจากความเกาะ ความเกี่ยว ความหลง ความเมาในร่างกายขันธ์ 5 ของเราและบุคคลอื่น เราตระหนักรู้อย่างชัดเจน ว่าเราคือจิตหรืออาทิสมานกาย ดังนั้นการที่เราฝึกสมถะ ด้วยความชำนาญเชี่ยวชาญ ทรงในอารมณ์ของสภาวะแยกรู้สึกในความเป็นจริงอย่างชัดเจนมากเท่าไหร่ กำหนดแยกในความเป็นอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพมากเท่าไหร่ ยิ่งยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน นานและบ่อยมากเท่าไหร่
การฝึกสมถะก็กลายเป็นวิปัสสนา คือ การให้จิตของเราเกิดความชิน กับสภาวะของการแยกกาย แยกจิต แยกรูป แยกนาม ยิ่งแยกมากเท่าไหร่ ความเกาะ ความยึดในร่างกายขันธ์ 5 ก็ยิ่งเบาบาง ยิ่งจางลง ยิ่งรู้เท่าทันมากขึ้นเพียงนั้น เมื่ออารมณ์เป็นเช่นนี้ การตัดเข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้าก็ง่ายขึ้น เบาขึ้น ในขณะนี้ก็ให้เราพิจารณา ว่าเราไม่ใช่ร่างกายเนื้อ ร่างกายเนื้อไม่ใช่เรา เราคือจิตอาทิสมานกาย
จากนั้นกำหนดจิต น้อมกำหนด นึกถึงพระรูปพระโฉม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ปรากฏขึ้นในจิตของเรา เป็นภาพองค์พระชัดเจนแจ่มใส องค์พระค่อยๆ ใสขึ้น สว่างขึ้น เป็นเพชรประกายพรึก น้อมอธิษฐานกำหนดจิต เพื่อเป็นการเชื่อมกระแส น้อมจิตอธิษฐานว่า ขอภาพพุทธนิมิตที่ปรากฏขึ้นกับดวงจิตของข้าพเจ้า จงมีกระแสแห่งกำลังของพุทธานุภาพ ประดุจพระพุทธองค์เสด็จเคลื่อนคล้อยมาในฟ้านภากาศ เสด็จมาประทับอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า ประดุจดังพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ กำหนดน้อมภาพนิมิต ซึมซับรับกระแสของพระพุทธองค์ชัดเจน
จากนั้นกำหนดจิต ขอบารมีพระ ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้ข้าพเจ้าแยกอาทิสมานกาย ปรากฏเป็นกายพระวิสุทธิเทพ มากราบพระพุทธองค์ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ ให้เรากำลังจิตกราบ เห็นอาทิสมานกายนั่งคุกเขากระโหยงพนมมือ กายพระวิสุทธิเทพของเราสว่างผ่องใส น้อมกราบพระพุทธองค์แทบตักหรือแทบเบื้องพระบาท ตามแต่บุคคลตามที่เรากำหนดจิตนะ เมื่อกราบลงแล้ว ก็น้อมซึมซับรับกระแสของพระพุทธองค์ลงสู่กายทิพย์ของเรา ว่าพุทธองค์ทรงเมตตาอย่างไรกับเราบ้าง
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นไปบนพระจุฬามณีเจดีย์สถาน บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ กำหนดนะ ไปที่พระจุฬามณีเจดีย์สถาน ในสภาวะความเป็นทิพย์ อธิษฐานจิตขอให้เทวดาทั้งหลาย ที่เสด็จมานมัสการจุฬามณีเจดีย์สถาน ได้ปรากฏให้เราเห็นสภาวะที่จัดตามความเป็นจริง แม้แต่กลิ่นของดอกไม้ทิพย์ ดอกมณฑาทิพย์บนสวรรค์ ก็ขอให้เราได้กลิ่น เสียงฟ้อนรำ ขับร้องของนางฟ้าเทพธิดา ที่จะที่อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ขอให้เราได้ยินด้วยทิพย์โสต ขอให้ภาพทุกอย่างสว่างชัดเจนแจ่มใสอย่างอัศจรรย์ เห็นจริงทุกอย่าง
กำหนดจิตไปที่ ภายในพระจุฬามณีเจดีย์สถาน อธิษฐานจิตว่าหากเรามีบุญบารมี ที่จะมามีกำลังบุญเพียงพอ ที่สามารถที่จะมาจุติบนพระจุฬามณีที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ก็ขอให้เทวดานางฟ้าที่ท่านเป็นเพื่อนของเราก็ตาม เป็นบริวารของเราก็ตาม เมตตาสงเคราะห์นำดอกพวงมาลัยแก้ว มาให้เราใช้ไปสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุในพระจุฬามณีเจดีย์สถานด้วยเทอญ กำหนดดูนะ มีใครได้มาลัยแก้ว มีนางฟ้ามาให้ บางคนได้พวงนึง บางคนได้หลายพวงก็ตามแต่กำลังบุญ กำลังบารมีนะ กำหนดจิตต่อไป น้อมจิตเคลื่อนอาทิสมานกาย หรือจะเดินเข้าไปก็ได้ กำหนดความรู้สึกเดินผ่านเข้าไปภายในประตูของพระจุฬามณีนะ ถ้าใครจิตละเอียดเห็นท่านมเหสักขาที่เฝ้าอยู่ที่ประตู ก็ไหว้กราบสักการะท่าน เมื่อเข้าไปแล้วก็กำหนดจิต กำหนดรู้ เห็นรายละเอียดทั้งหมดของพระจุฬามณี ลองดูว่าสิ่งที่ประดิษฐานอยู่พระบรมสารีริกธาตุคือส่วนใด กำหนดจิตขอให้เห็นชัดเจนแจ่มใส่ด้วยเทอญ
จากนั้นกำหนดจิต นำพวงมาลัยที่ได้รับมา เป็นพวงมาลัยแก้วระยิบระยับถวาย บูชาพระจุฬา บูชาพระเขี้ยวแก้ว พระเมาลี ขอให้เทวดานางฟ้าโมทนาสาธุการ กำหนดจิตดูนะ เทวดานางฟ้าที่ท่านลอยอยู่ในสถานที่นั้น โปรยข้าวตอกดอกไม้มณฑาทิพย์ ในขณะที่เราขึ้นมาสักการะ ใจเราแช่มชื่นปีติยินดี แผ่เมตตาสว่าง น้อมถวายกุศลให้กับเทวดานางฟ้าทั้งหลาย เมื่อกราบแล้ว กำหนดจิตต่อไปว่า ขอให้อาทิสมานกายข้าพเจ้าได้เคลื่อนไปยัง พระแท่นบรรทมศิลาอาสน์ สถานที่ประทับของพระอินทร์ คือท่านปู่และท่านย่า ขอให้อาทิสมานกายข้าพเจ้าไปกราบท่านปู่ท่านย่าด้วยเทอญ อ่า! ตั้งใจไปกราบนะ ไปถึงแล้วก็กราบท่านที่ตัก ใครมีจิตที่ผูกพันเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับท่าน ก็กอดท่านไว้ นะ กำหนดจิตว่าลูกมาเกิดบนโลกมนุษย์ มาปฏิบัติธรรม ตั้งใจปฏิบัติทุกอาทิตย์ ปฏิบัติธรรมทุกวัน ใจของลูกปรารถนาพระนิพพาน ลูกขอกราบลาท่านปู่ท่านย่า หรือสำหรับบางคนก็เป็นท่านพ่อท่านแม่ กำหนดจิตกราบลาท่านเพื่อไปพระนิพพาน ขอให้ท่านโมทนา
ตอนนี้ก็น้อมจิต พิจารณาให้เข้าใจที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านเมตตาสอน ว่าเหตุผลสำคัญที่ว่า เมื่อได้กำลังของมโนมยิทธิ แล้วต้องมาที่พระจุฬามณีเจดีย์สถาน มากราบท่านปู่ท่านย่า เพื่อที่ว่าเป็นการการันตี เป็นการเผื่อไว้ ว่าหากกำลังจิตของใคร กำลังบารมีของใครยังไม่สามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ ก็ขอให้มาพัก ตายแล้วก็ขอให้บุญที่ถวายสังฆทาน บุญที่ทำความดี บุญที่รักษาศีล บุญที่สร้างพระพุทธรูป บุญที่ทำพระชำระหนี้สงฆ์ ขอให้บุญทั้งหลายส่งผล ให้มาพัก คือมาจุติอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเมื่อไหร่ก็ตามที่พระศรีอริยเมตไตรยเสด็จมาจุติ มาประกาศพระศาสนา ก็ขอไปบรรลุธรรมในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย อันนี้คือเหตุผลว่าทำไมเวลาฝึกมโนมยิทธิ ถึงต้องมาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กราบท่านปู่ท่านย่านะ พระอินทร์และพระชายา
กำหนดขอว่า หากลูกมีความยากลำบากทางโลก ก็ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์เต็มกำลัง สิ่งใดที่ท่านช่วยเหลือเมตตาได้ ก็ขอให้ผ่านพ้น ขอให้มีความคล่องตัว ด้านมหาโภคทรัพย์ เงินทอง มีคนช่วยเหลือ มีคนเมตตาเทวดา ธรรมะทั้งหลายจัดสรร ให้ราบรื่นคล่องตัวทุกอย่าง สายทรัพย์ สายสมบัติเปิดขึ้น คนที่ลำบากยากมานาน ก็ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์ ให้มีความคล่องตัว หลุดพ้นอย่างง่ายดาย รวดเร็วนับตั้งแต่บัดนี้
จากนั้นกราบท่านที่เท้า แล้วก็ตั้งจิตต่อไปอธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธเจ้า บารมีครูบาอาจารย์ หลวงพ่อท่านสงเคราะห์ ขอยกอาทิสมานกายของข้าพเจ้า ขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ กำหนดน้อมจิต ขอให้อาทิสมานกายเราปรากฏขึ้นไปบนพระนิพพาน อยู่ท่ามกลางมหาสมาคมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน กำหนดน้อมพิจารณาเห็นกว้างไกลไปสุดสายตา มีพระพุทธองค์ มีพระอรหันต์เต็มไปหมด มากมายมหาศาล กระแสความสว่างผ่องใสยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มากมาย ความสงบ ความสงัดของจิต
น้อมจิตอธิษฐานขอให้อาทิสมานกายเราจงปรากฏ นั่งอยู่บนรัตนบัลลังด์ดอกบัวแก้ว เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม และพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ กำหนดพิจารณาในอารมณ์พระนิพพาน ทรงอารมณ์พระนิพพาน กำหนดความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพชัดเจน เครื่องทรงที่ปรากฏ ที่สวมใส่อยู่ มีความสว่าง มีความชัดเจน รู้สึกสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เราปรากฏในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพนั้น และพิจารณาในอารมณ์นิพพานว่า หากเราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว การเกิดทั้งหลายไม่ปรากฎกับเราอีกต่อไป การไปจุติในภพภูมิต่างๆ ไม่ปรากฎกับเราอีกต่อไป กรรมทั้งหลาย วิบัติทั้งหลาย ไม่อาจส่งผลกับเรา ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ที่ว่าตัดดีตัดชั่ว ไม่เอาดีไม่เอาชั่ว ไม่ยึดดีไม่ยึดชั่วทั้งหลาย ก็คือสภาวะที่เราต้องตัด เมื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน แต่หากยังอยู่ในสังสารวัฏ เราก็ยังต้องยึดความดี ยึดกุศลเพื่อเป็นแพ เพื่อเป็นเสบียงไว้เลี้ยงตัว ในการเดินทางในสังสารวัฏ แต่เมื่อเราเข้าถึงพระนิพพานและที่เราต้องตัดดี ก็คือแม้แต่บุญที่ทำให้เราไปเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช เราก็ต้องตัดไม่เอา เพราะถ้าเอาเราก็ต้องไปเกิด เราก็ไม่ได้เข้าพระนิพพาน บุญที่ทำให้เราไปจุติเป็นเทวดาที่มีบารมียิ่งใหญ่ อยู่ในสวรรค์ชั้นใดก็ตาม มีบริวารมีนางฟ้ามากมาย มีปราสาท มีวิมานอันเป็นทิพย์ใหญ่โตมโหฬาร เราก็ต้องตัดไม่เอา เพราะถ้าเอาเราก็ต้องไปจุติเป็นเทวดา ก็เข้าพระนิพพานไม่ได้ หรือแม้แต่ความดีที่ทำให้เราไปจุติเป็นมหาพรหม เป็นพรหมผู้ใหญ่ที่มีบุญบารมีรัศมีแสงสว่างเจิดจ้า เจิดจรัส มีอายุความเป็นทิพย์ยาวนานมหาศาล หลายล้านล้านปีก็ตาม หากเราไปปรารถนาในความเป็นพรหม เราไปยึด เราไปเอา เราไปเสียดาย เราก็ไม่ได้เข้าพระนิพพาน
ดังนั้นขึ้นชื่อว่าภพทั้งหลาย ไม่มีกำลังอำนาจที่จะมีอิทธิพลดึงดูด ให้เรายึด ให้เราเกาะ ให้เราไปเกิดอีกต่อไป สิ่งใดบุคคลใด บุคคลที่เราเคยรักที่สุด ห่วงหาอาวรณ์อาลัยอาวรณ์ที่สุด คู่ที่เรารักที่สุด คนรักคนที่เคยรักที่สุดของเรา คนที่พบเจอผูกพันมาหลายแสนชาติภพ เราก็ต้องตัด เพราะเราเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน หากยังยึด ยังเกาะ เราก็ยังต้องไปเกิด ไปพบ ไปเจอกับเธอผู้นั้น หรือเขาผู้นั้นอีก ดังนั้นเราตัดห่วง ตัดความอาลัยทั้งปวง ตัดภพทั้งปวง ตัดสังโยชน์ทั้งปวง ตัดความโลภ ความโกรธ ความหลงทั้งปวง อารมณ์จิตเราอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด เบาจากความละในความรัก โลภ โกรธ หลงทั้งหลาย เบาจากสภาวะที่เรายังเกาะเกี่ยว อยู่กับครอบครัวทั้งหลาย เบาจากภาระแห่งการต้องมีหน้าที่อยู่ในภพภูมิทั้งหลาย จิตสงบ เบา อยู่กับพระนิพพาน พิจารณาบริกรรม
นิพพานัง ปรมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
แล้วกำหนดจิตต่อไป ขอกระแสของกำลังแห่งพระพุทธองค์ทุกๆ พระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสของสมเด็จองค์ปฐม เมตตาสงเคราะห์ให้จิตเราซึมซาบ ซึมซับ น้ำพระราชหฤทัยของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ที่มีต่อมวลสรรพสัตว์ ในการรื้อขนมวลสรรพสัตว์ ให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน จิตเราซึมซาบ ซึมซับกับกระแสของพระนิพพาน กับกระแสพระราชหฤทัยของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จิตแนบน้อมเป็นหนึ่งเดียวกับกระแสของพระนิพพาน กระแสดวงจิตของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เชื่อมโยงสอดประสาน จิตเพราะเราซึมซับเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพาน สว่าง สะอาด สงบเย็น รู้ตื่นเบิกบาน จิตเอิบอิ่ม ปีติ จิตว่างจากความโลภ โกรธ หลงอย่างยิ่ง จิตปราศจากเครื่องเกาะเกี่ยวในบุคคล วัตถุ และภพภูมิทั้งปวง สะอาด ว่าง ใส บริสุทธิ์ อารมณ์พระนิพพานปรากฏ
ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ กำหนดอธิษฐานในจิตของเรา ตายเมื่อไหร่ข้าพเจ้าขอเข้าถึงพระนิพพาน ขออารมณ์จิตที่ข้าพเจ้าเชื่อมกระแส เป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพานนี้ เป็นตัวน้อมให้จิตตัวสุดท้ายของข้าพเจ้า เกิดจิตรำลึกนึกถึงอารมณ์นี้ และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่าย โดยพลัน ด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพทั้งปวงด้วยเทอญ
จิตผ่องใส อาทิสมานกายเราสว่าง เจิดจ้า อย่างยิ่ง จิตปีติ ผ่องใส เจิดจ้า ใจสบาย เป็นสุข จิตเชื่อมกระแสอยู่ในกระแสแห่งโลกุตระ อยู่ในกระแสแห่งมรรคผล อยู่ในกระแสแห่งพระนิพพาน รู้สึกได้ว่าอาทิสมานกายของเราอยู่ในกระแสแห่งพระนิพพาน จิตในขณะนี้ สะอาด เบา จากความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างที่สุด
ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ เมื่อทรงอารมณ์ดีแล้ว ผ่องใสดีแล้ว ก็กำหนดพิจารณาต่อไป อารมณ์จิต อารมณ์แห่งพระนิพพาน อันเป็นเอกบรมสุข เราขออาราธนากระแสจากพระนิพพานนี้ ลงมาสู่โลกมนุษย์ ขอกระแสจากพระนิพพาน ข้าพเจ้าขออาราธนาเป็นกระแส ลงมาสู่วัดวาอารามทั้งหลายทั่วโลก สถานปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พระธาตุเจดีย์พระบรมธาตุเจดีย์ พระมหาเจดีย์ทั้งหลาย ขอกระแสแห่งพระนิพพาน กระแสแห่งธรรมธาตุ กระแสแห่งพุทธะ ขออาราธนาลงมา ยังพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลาย ขอจงปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ เกิดการเสด็จเพิ่ม เกิดปาฏิหาริย์พระธาตุ เกิดการขยายใหญ่ เกิดการเปลี่ยนวรรณะ เป็นปาฏิหาริย์แห่งพระธาตุ เพื่อยังศรัทธาในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งปวง
ขอข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นตัวแทนของผู้ปฏิบัติธรรม อาราธนากระแสความศักดิ์สิทธิ์ กำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ลงสู่โลก เพื่อเปิดเข้าสู่ยุค ที่พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง ดังสมัยพุทธกาลอีกครั้ง ขอกระแสแห่งพระนิพพาน จงแผ่ปกปักลงมาอย่างผู้ปฏิบัติธรรมทั้งปวง นับแต่นี้ขอกระแสมรรคผล จงปรากฏขึ้นได้โดยง่าย กระแสแห่งโลกุตระ ที่เราน้อมลงมาจากพระนิพพาน ขออาราธนาลงมาเชื่อมโยงกับดวงจิต ดวงใจของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งปวง
ขอความเป็นทิพยญาณเครื่องรู้ของจิต ให้เรากำหนดรู้ กำหนดเห็น กระแสที่เป็นแสงสว่างที่ส่องลงมาจากพระนิพพาน เชื่อมลงมายังจิตของผู้คนในโลกนี้ น้อมใจโมทนาสาธุ พิจารณาดูให้ละเอียด บุคคลทั้งหลายที่กระแสของพระนิพพานเชื่อมโยง จิตเขาก็จะเริ่มเกิดญาณเครื่องรู้ เกิดคลุกภายใน เกิดครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์ ผุดรู้ ผุดสอน กระแสธรรมผุดรู้ในจิต ธรรมะของแต่ละบุคคล ที่เกิดการเชื่อมพระแสจากพระนิพพานก็มีความก้าวหน้า เจริญในธรรมน้อมกระแสลงไป ธรรมะจะได้เจริญงอกงามในดวงจิตของสาธุชนทั้งหลาย ขอบารมีพระพุทธองค์ท่านทรงเมตตาสงเคราะห์ด้วยเถิด
กำหนดจิตต่อไปว่า การที่หมู่คณะเราปฏิบัติธรรมและบำเพ็ญกิจอันเป็นปฏิปทาสาธารณประโยชน์นี้ ขอให้เทวดาพรหมทั้งหลายได้โมทนาสาธุ ขอให้หลวงพ่อท่านเมตตาสงเคราะห์ ขอให้พระพุทธองค์ทุกๆ พระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธานเมตตา ให้นับแต่นี้ข้าพเจ้าทั้งหลายจงมีความเจริญในธรรม ในศาสนาขององค์พระสมณโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันด้วยเทอญ
สำหรับบุคคลที่ตั้งจิตปรารถนาเพื่อพระนิพพานชาตินี้ ก็ขอให้สำเร็จประโยชน์ กระแสที่น้อมลงมาเชื่อมโยง จนเป็นกระแสที่เชื่อมให้จิตสุดท้ายก่อนตาย เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่าย โดยพลัน ทุกคน น้อมใจของเราให้สว่าง ผ่องใสกำหนดจิตให้อาทิสมานกายของเราขณะนี้ สว่างเต็มกำลัง ขอวิมานของข้าพเจ้าแต่ละบุคคลจงปรากฏขึ้น อาทิสมานกายของแต่ละบุคคลจงปรากฏ นั่งอยู่บนแท่นบนพระนิพพานด้วยเถิด จิตสบาย ผ่องใส
จิตสบาย เอิบอิ่ม ผ่องใส ใจสบาย จากนั้นให้เราแต่ละบุคคลกำหนดอธิษฐาน ขอให้ปรากฏดอกบัวแก้ว ที่เกิดขึ้นจากบุญกุศลแห่งการปฏิบัติ จากนั้นแยกอาทิสมานกายไปเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ยกถวายดอกบัวแก้วตั้งใจอธิษฐานว่าปฏิบัติบูชาที่ข้าพเจ้าปฏิบัติในวันนี้ ขอทุกวันเวลาวินาทีที่ปัจจุบัน จงสะสมบ่มตัวให้ข้าพเจ้าเข้าใกล้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่ายขึ้นในทุกลมหายใจ
ขอให้บุญแห่งการปฏิบัตินี้ เป็นปฏิบัติบูชา บูชาคุณพระพุทธเจ้าพระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอให้กระแสธรรมของข้าพเจ้า แน่บเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพาน เป็นอารมณ์เป็นที่สุดและขอให้การปฏิบัติของข้าพเจ้านี้ เกิดกำลังส่งเสริมส่งผลให้ชีวิตทางโลกในขณะที่ยังมีชีวิตของข้าพเจ้านี้ มีความสุข มีความเจริญ มีความคล่องตัว ขอกระแสแห่งการปฏิบัติ กระแสพระนิพพาน ฟอกธาตุขันธ์ร่างกายขันธ์ 5 ของข้าพเจ้า กายเนื้อของข้าพเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด จากโรคภัยไข้เจ็บ มีราศีรัศมีแห่งผู้ปฏิบัติธรรม ผู้เปี่ยมเมตตาแผ่สว่าง กระจายออก ขอให้บุญกุศลส่งผล ให้ทุกอย่างมีความคล่องตัว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปตามเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
และขอแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล แผ่เป็นเมตตาอัปมาณฌาณ เป็นการอุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตา ทั่วทุกภพทุกภูมิ ขอกุศลแห่งการปฏิบัติ จงแผ่ไปถึงอรูปพรหมทั้งหลาย รูปพรหมทั้งหลายทั้ง 16 ชั้น เทวดาทั้ง 6 ชั้นรุกขเทวดา ภูมิเทวดาทั้งปวง มนุษย์ทั่วจักรวาล อนันตจักรวาล สรรพสัตย์ทั้งหลาย สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาล ดวงวิญญาณโอปปาติกะ สัมภเวสีทั้งหลาย ดวงจิตที่อยู่ในเมืองลับแลบังบดทั้งหลาย เเปรตอสูรกายทั้งหลาย และบรรดาสัตว์นรกทั้งหลาย ขอกระแสชีวิตข้าพเจ้าจงอุทิศถึงทุกรูปทุกนาม แผ่เมตตาไปทุกภพทุกภูมิ
กระแสของบุญกุศล ยิ่งสะสมเพิ่มพูน แผ่เมตตาสว่าง ผ่องใส จนใจของข้าพเจ้าสว่าง แย้มยิ้มปีติเป็นสุข ตั้งใจว่าเราจะปฏิบัติธรรม เราโมทนากับเพื่อนทุกคนที่ทำความดีร่วมกัน โมทนาในความอิ่ม ความสุข ความผ่องใสของผู้ที่ปฏิบัติร่วมกันกับเราทุกคน และผู้ที่มาฟัง มาฝึก มาปฏิบัติ ภายหลังก็ตาม ขอให้เสวยความสุขวิมุตหมดจดในอารมณ์แห่งธรรมะนี้ และขอให้กระแสของพระนิพพาน ยังสถิตย์เป็นหนึ่งเดียวกับดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้น แนบอยู่กับพระนิพพาน ใจเป็นสุขอย่างยิ่ง จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง จิตปล่อยวางจากทุกสรรพสิ่งอย่างยิ่ง
จากนั้นจึงค่อยๆ หายใจเข้า ลึกๆ ช้าๆ หายใจเข้าพุทธ ออกโธ
หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ครั้งที่ 2 ธัมโม
หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ครั้งที่ 3 สังโฆ
จากนั้นน้อมจิตน้อมใจของเรา กำหนดให้เห็นภายในจิตเรา เป็นดอกบัวสว่าง เผยกลีบแย้มบาน จิตแย้มยิ้ม เปลือกตาของเราค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ ใบหน้าของเราแย้มยิ้มสัมพันธ์ กายจิตเบิกบานผ่องใส สว่าง เป็นสุขในยามออกจากสมาธิ จิตละเอียดปราณีต ใจเอิ่มอิ่มแช่มชื่น บุญเต็มล้นในจิตในใจ สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนด้วยนะครับ ทบทวนในการปฏิบัติตามแนวทางที่หลวงพ่อท่านสอนให้เราเข้าใจ แม้ว่าปัจจุบันหลายๆ คนมีความปฏิบัติฝึกมโนมยิทธิ มีความคล่องตัว แต่ว่าเราก็ควรที่จะต้องย้อนมาทบทวน ปูพื้นของเดิมให้มีความมั่นคง มีความละเอียดนะ วันนี้ก็ทบทวน ตามแนวทาง ตามแบบแผน ที่ท่านสอนเพื่อที่ว่าจะได้เป็นการทดแทนพระคุณของครูอาจารย์ท่าน ส่วนการฝึกที่เราฝึกให้มีความชำนาญเชี่ยวชาญพิเศษคล่องตัว อันนั้นก็ถือว่าเป็นการฝึกนิสัยพิเศษ ที่เป็นต่อยอด ส่วนนี้ถือว่าเป็นการฝึกที่เป็นแบบแผน เป็น Tradition เป็นพื้นฐานที่สำคัญ ที่จะต้องรู้หลักด้วยเช่นกัน สำหรับวันนี้ก็โมทนากับทุกคนนะครับ ให้มีความสุข ความเจริญ สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีความคล่องตัวในทุกๆ ด้าน รักษาอารมณ์ใจเราให้ผ่องใสได้ตลอดเวลา พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้สวัสดี แล้วก็โมทนากับทุกคนนะครับ
ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว